กฎหมายแก้ไขใหม่และคำพิพากษาศาลฎีกาที่สำคัญ
กฎหมายแก้ไขใหม่ที่สำคัญ
กฎหมายแก้ไขใหม่ ปี 2567
- กฎหมายสมรสเท่าเทียมกัน
- กฎหมายจราจร
- กฎหมายยาเสพติด (กัญชา, กัญชง)
- กฎหมายพลังงานไฟฟ้า
กฎหมายแก้ไขใหม่ ปี 2566
- พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
-
พระราชบัญญัติการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
- พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
-
พระราชบัญญัติการจดทะเบียนพาณิชย์
-
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
-
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์
-
พระราชบัญญัติการจราจรทางบก
-
พระราชบัญญัติภาษีอากร
-
พระราชบัญญัติการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล
-
พระราชบัญญัติการดูแลสุขภาพแห่งชาติ
กฎหมายแก้ไขใหม่ ปี 2565
กฎหมายแก้ไขใหม่ ปี 2564
กฎมหายแก้ไขใหม่ ปี 2563
กฎหมายแก้ไขใหม่ ปี 2562
กฎหมายแก้ไขใหม่ ปี 2561
กฎหมายแก้ไขใหม่ ปี 2560
กฎหมายแก้ไขใหม่ ปี 2567
ในปี 2567 มีกฎหมายใหม่หลายฉบับที่ถูกแก้ไขและออกมาใช้บังคับ ได้แก่:
- กฎหมายสมรสเท่าเทียม: อนุญาตให้คู่รัก LGBTQ+ สามารถหมั้นและสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย กำหนดอายุขั้นต่ำในการหมั้นและสมรสไว้ที่ 18 ปี โดยเน้นความเท่าเทียมทางเพศและการคุ้มครองสิทธิเด็ก.
กฎหมายนี้ช่วยให้คู่สมรส LGBTQIAN+ มีสิทธิเท่าเทียมกับคู่สมรสชายหญิง โดยรวมถึงสิทธิในการรับบุตรบุญธรรม การดูแลชีวิตคู่สมรส การรับมรดก และการจัดการทรัพย์สินร่วมกัน.
กฎหมายการสมรสเท่าเทียมที่เพิ่งได้รับการแก้ไขใหม่ในประเทศไทยเป็นกฎหมายที่มีการปรับปรุงในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อให้คู่สมรสเพศเดียวกันสามารถแต่งงานกันได้ตามกฎหมาย โดยรายละเอียดหลักของกฎหมายนี้ประกอบด้วย:
การเปลี่ยนแปลงคำศัพท์: กฎหมายได้เปลี่ยนแปลงคำศัพท์ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จาก "สามี" และ "ภรรยา" เป็น "คู่สมรส" และจาก "ชาย" และ "หญิง" เป็น "บุคคล" เพื่อให้เป็นกลางทางเพศและครอบคลุมถึงทุกคนไม่ว่าจะมีเพศใดก็ตาม
สิทธิต่างๆ ที่คู่สมรสจะได้รับ: คู่สมรสเพศเดียวกันจะได้รับสิทธิและประโยชน์เช่นเดียวกับคู่สมรสต่างเพศ รวมถึงสิทธิในการรับมรดก การรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี การจัดการทรัพย์สินร่วมกัน การอนุญาตการรักษาพยาบาล การรับบุตรบุญธรรม และสิทธิในการรับบำนาญจากรัฐบาล เป็นต้น
การผ่านกฎหมาย: กฎหมายนี้ผ่านการเห็นชอบจากวุฒิสภาไทยด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่ และได้รับการลงนามรับรองจากพระมหากษัตริย์ ก่อนที่จะประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ภายใน 120 วันหลังจากประกาศ
ผลกระทบต่อสังคม: กฎหมายนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการรับรองสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ ในประเทศไทย แม้สังคมไทยยังคงมีความอนุรักษ์นิยมและมีการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มนี้อยู่ แต่การผ่านกฎหมายนี้เป็นสัญญาณของการยอมรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น
กฎหมายการสมรสเท่าเทียมในประเทศไทยจะมีผลบังคับใช้หลังจากได้รับการลงนามรับรองจากพระมหากษัตริย์และประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายใน 120 วัน นั่นหมายความว่ากฎหมายจะมีผลบังคับใช้ประมาณช่วงปลายปี 2024 นี้
- กฎหมายยาเสพติด: มีการกำหนดปริมาณยาเสพติดในประเภทต่างๆ เช่น แอมเฟตามีนไม่เกิน 500 มิลลิกรัม, เฮโรอีนไม่เกิน 300 มิลลิกรัม เป็นต้น เพื่อควบคุมการเสพและการใช้ยาเสพติดในประเทศ.
ในปี 2024 ประเทศไทยได้ทำการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดหลายประการเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดที่กำลังแพร่ระบาด โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้:
ข้อกำหนดเกี่ยวกับปริมาณการครอบครอง: มีการลดปริมาณที่อนุญาตให้ครอบครองยาเมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) จากเดิม 5 เม็ด เหลือเพียง 1 เม็ด หรือเมทแอมเฟตามีนคริสตัล (ยาไอซ์) ไม่เกิน 20 มิลลิกรัม หากพบครอบครองเกินจำนวนดังกล่าวจะถือว่ามีเจตนาจำหน่ายและต้องรับโทษตามกฎหมาย.
การรักษาและบำบัด: ผู้ที่ถูกจับกุมที่ครอบครองยาในปริมาณที่กำหนดจะถูกส่งเข้าสู่โปรแกรมบำบัดแทนการดำเนินคดี แต่หากพบว่ามีการครอบครองมากกว่า 1 เม็ด จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายใหม่
การใช้หลักการทางการแพทย์: กฎหมายใหม่ให้ความสำคัญกับการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดมากกว่าการลงโทษ โดยการจัดตั้งศูนย์บำบัดสังคมเพื่อช่วยผู้ติดยาให้กลับเข้าสู่สังคมได้
การปรับปรุงการดำเนินคดี: กฎหมายใหม่ยังเพิ่มความเข้มงวดในการจัดการกับผู้ค้ายาเสพติด โดยการสืบสวนหาต้นตอของผู้จัดจำหน่ายและการยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มุ่งหวังที่จะลดการแพร่ระบาดของยาเสพติดและให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ติดยาเพื่อป้องกันการกลับไปใช้ยาเสพติดอีกครั้งและทำให้สังคมไทยปลอดภัยขึ้น.
- พ.ร.บ.กัญชากัญชง (ใหม่): กฎหมายการใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการ ห้ามจำหน่ายให้กับบุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร และบุคคลอื่นๆ ตามที่ระบุ รวมถึงข้อกำหนดในการขออนุญาตสำหรับการเพาะปลูก ผลิต นำเข้า ส่งออก และจำหน่าย.
กฎหมายกัญชากัญชงฉบับใหม่ของประเทศไทยในปี 2024 มุ่งเน้นไปที่การควบคุมและควบคุมการใช้และการขายกัญชาและกัญชง โดยกฎหมายนี้ยังคงให้การสนับสนุนการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ แต่จะควบคุมการใช้เพื่อสันทนาการอย่างเข้มงวด
รายละเอียดหลักๆ ของกฎหมายนี้ ได้แก่:
การปลูกและการผลิตกัญชาและกัญชงต้องได้รับใบอนุญาตจากองค์การอาหารและยาแห่งประเทศไทย (FDA)การสูบกัญชาในที่สาธารณะถูกห้าม โดยผู้ฝ่าฝืนอาจถูกปรับสูงสุด 25,000 บาท และ/หรือจำคุกไม่เกิน 3 เดือนการครอบครองสารสกัดที่มีปริมาณ THC มากกว่า 0.2% ยังคงถูกควบคุมอย่างเข้มงวดการใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการถูกกำหนดให้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย โดยผู้ที่ถูกจับได้อาจถูกปรับสูงสุด 60,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปีการโฆษณาหรือการตลาดที่ไม่ได้รับอนุญาตเกี่ยวกับกัญชาอาจถูกปรับสูงสุด 100,000 บาทการปลูกกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษปรับระหว่าง 20,000 ถึง 300,000 บาท และอาจถูกจำคุก 1-3 ปีการปรับปรุงและขยายกฎหมายนี้ยังคงดำเนินการต่อไป โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนากฎหมายที่ครอบคลุมและรองรับธุรกิจและการวิจัยเกี่ยวกับกัญชา
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างอุตสาหกรรมกัญชาและกัญชงที่มีการควบคุมอย่างดี และเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจในด้านนี้ด้วย
- กฎหมายจราจร: มีการปรับปรุงหลายประเด็น เช่น การไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลายมีโทษปรับไม่เกิน 4,000 บาท, การขับรถใบขับขี่หมดอายุมีโทษปรับและจำคุก, และการใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่โดยไม่ใช้อุปกรณ์เสริมมีโทษปรับสูงสุด 4,000 บาท.
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามของประเทศไทยในการปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและความต้องการของประชาชนในปัจจุบัน
ในปี 2567 มีการแก้ไขกฎหมายจราจรหลายประการ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดและบทลงโทษดังนี้:
ขับรถเร็วเกินกำหนด:
โทษปรับสูงสุด 4,000 บาท จากเดิม 1,000 บาท
เมาแล้วขับ:
ครั้งแรก: โทษปรับ 5,000 - 20,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับทำผิดซ้ำในระยะเวลา 2 ปี: โทษปรับ 50,000 - 100,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขับรถฝ่าไฟแดง:
โทษปรับสูงสุด 4,000 บาท จากเดิม 1,000 บาท
ขับรถย้อนศร:
โทษปรับสูงสุด 2,000 บาท จากเดิม 500 บาท
ใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่:
โทษปรับสูงสุด 4,000 บาท จากเดิม 2,000 บาท
ไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย:
โทษปรับสูงสุด 4,000 บาท จากเดิม 1,000 บาท
ไม่สวมใส่หมวกนิรภัย:
โทษปรับสูงสุด 2,000 บาท จากเดิม 500 บาท
ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย:
โทษปรับสูงสุด 2,000 บาท จากเดิม 500 บาท
ไม่พกใบขับขี่หรือใบขับขี่หมดอายุ:
ไม่พกใบขับขี่: โทษปรับสูงสุด 1,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับใบขับขี่หมดอายุ: โทษปรับสูงสุด 2,000 บาท
ติดตั้งที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก:
กำหนดให้เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องนั่งที่นั่งนิรภัย (คาร์ซีท) หากไม่มี โทษปรับสูงสุด 2,000 บาท
ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน:
โทษปรับสูงสุด 2,000 บาท และโดนตัดคะแนนความประพฤติทันที 1 คะแนน
จอดรถในที่ห้ามจอด:
โทษปรับสูงสุด 2,000 บาท และโดนตัดคะแนนความประพฤติทันที 1 คะแนน
ขับรถขวางทางรถฉุกเฉินหรือรถพยาบาล:
โทษปรับสูงสุด 2,000 บาท และโดนตัดคะแนนความประพฤติทันที 1 คะแนน
- แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2024): แผนนี้เน้นเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้เป็น 51% โดยเฉพาะแสงอาทิตย์ที่จะเพิ่มขึ้นถึง 30% เพื่อสนับสนุนพลังงานสะอาดและควบคุมค่าไฟฟ้าของประชาชนไม่ให้เกิน 4 บาทต่อหน่วย.
กฎหมายพลังงานไฟฟ้าใหม่ของประเทศไทยในปี 2024 มีรายละเอียดสำคัญหลายประการที่เน้นการเปลี่ยนแปลงไปสู่พลังงานสะอาดและการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ดังนี้:
การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน:
แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับปรับปรุงใหม่มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนเป็น 51% ภายในปี 2037 จาก 20% ในปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่จะมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ เสริมด้วยพลังงานลม ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ โซลาร์ลอยน้ำ พลังงานจากขยะ โรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก และพลังงานความร้อนใต้พิภพ.
การใช้ไฮโดรเจน:แผนนี้ยังรวมถึงการแทนที่ก๊าซเชื้อเพลิงประมาณ 5% ด้วยไฮโดรเจน ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ระหว่างปี 2035 ถึง 2037 โดยยังต้องตัดสินใจว่าจะใช้ไฮโดรเจนแบบสีฟ้า (จากก๊าซธรรมชาติพร้อมการกักเก็บคาร์บอน) หรือสีเขียว (ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน).
การจัดการและลดการปล่อยคาร์บอน:
แผน PDP ตั้งเป้าจำกัดการปล่อยคาร์บอนจากการผลิตไฟฟ้าไม่เกิน 41.5 ล้านตันในปี 2050 ลดลงจาก 100 ล้านตันในปี 2025 และ 101 ล้านตันในปี 2020 แม้ว่าจะมีข้อกังวลว่าเป้าหมายนี้อาจไม่เพียงพอสำหรับการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050.
การจัดหาและแจกจ่ายพลังงานหมุนเวียน:
การจัดหาพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยเพิ่มความจุการผลิตพลังงานหมุนเวียนจาก 9,996 เมกะวัตต์ เป็น 12,700 เมกะวัตต์.
การสนับสนุนและการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่:
พลังงานนิวเคลียร์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็ก (SMR) กำลังพิจารณาเป็นแหล่งพลังงานทางเลือก โดยคาดว่าจะพัฒนาได้ระหว่างปี 2036 ถึง 2037 (Power Library).
กฎหมายพลังงานไฟฟ้าใหม่นี้มีเป้าหมายที่จะสร้างระบบพลังงานที่ยั่งยืน มีความเสถียร และมีประสิทธิภาพในการจัดการพลังงาน ทั้งนี้ยังคำนึงถึงความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม.
กฎหมายแก้ไขใหม่ปี 2566
การแก้ไขกฎหมายในประเทศไทยในปี 2566 มีหลายฉบับที่สำคัญ ต่อไปนี้เป็นบางตัวอย่างที่มีการแก้ไข:
- พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
มีการแก้ไขเพื่อปรับปรุงข้อกำหนดเกี่ยวกับการกระทำความผิดผ่านทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และเพิ่มโทษสำหรับผู้กระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (Computer Crime Act - CCA) ในปี 2024 ของประเทศไทยมีการปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ทันสมัยกับเทคโนโลยีและรูปแบบการกระทำผิดที่ซับซ้อนขึ้น รายละเอียดสำคัญของกฎหมายนี้ ได้แก่:
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลการจราจรทางคอมพิวเตอร์:
ผู้ให้บริการต้องเก็บข้อมูลการจราจรทางคอมพิวเตอร์ (traffic data) อย่างน้อย 90 วัน และอาจเก็บได้นานถึง 2 ปีในกรณีที่จำเป็น.
การกระทำผิดเกี่ยวกับข้อมูลเท็จและการส่งสแปม:
ห้ามการนำเข้าข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย และห้ามส่งข้อมูลหรืออีเมลที่รบกวนผู้รับโดยไม่มีตัวเลือกให้ผู้รับสามารถยกเลิกการรับ.
การสร้างหน่วยงานพิจารณาการกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์:
มีการจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาการกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ (Computer Data Filtering Committee) เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลในการหยุดการแพร่กระจายข้อมูลที่ละเมิดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน.
การจัดตั้งหน่วยงานพิเศษสำหรับการกระทำผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี:
มีการจัดตั้งแผนกพิเศษในศาลอาญาเพื่อพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับอาชญากรรมไซเบอร์และการกระทำผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี เพื่อให้การพิจารณาคดีมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น.
การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล:
กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ห้ามการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอม และมีข้อกำหนดในการรายงานเหตุการณ์การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลภายใน 72 ชั่วโมง.
การแก้ไขกฎหมายนี้มุ่งหวังให้สามารถรับมือกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและความปลอดภัยทางไซเบอร์.
- พระราชบัญญัติการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
มีการแก้ไขเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกำหนดโทษสำหรับการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Act - PDPA) ของประเทศไทยในปี 2024 มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนและให้สิทธิ์ต่าง ๆ แก่เจ้าของข้อมูล รายละเอียดสำคัญของกฎหมายนี้ได้แก่:
ขอบเขตและการบังคับใช้ขอบเขตของกฎหมาย: PDPA มีผลบังคับใช้กับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลธรรมดาที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยกฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ไม่ว่าจะมีการดำเนินกิจกรรมในประเทศไทยหรือต่างประเทศก็ตาม.
ข้อยกเว้น: กฎหมายนี้ไม่บังคับใช้กับการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐเพื่อความมั่นคง การเปิดเผยข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ทางศิลปะหรือสื่อมวลชนที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และการปฏิบัติงานของศาลและเจ้าหน้าที่ในเขตอำนาจศาล.
สิทธิ์ของเจ้าของข้อมูลสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล: เจ้าของข้อมูลมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองและได้รับสำเนาข้อมูล**:
เจ้าของข้อมูลมีสิทธิ์ในการแก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่สงวนสิทธิ์ในการลบข้อมูล: เจ้าของข้อมูลสามารถร้องขอให้ลบหรือทำให้ข้อมูลของตนเองไม่สามารถระบุถึงตัวบุคคลได้สิทธิ์ในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูล: เจ้าของข้อมูลสามารถคัดค้านการประมวลผลข้อมูลของตนในบางกรณีสิทธิ์ในการเพิกถอนความยินยอม: เจ้าของข้อมูลสามารถถอนความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลได้ตลอดเวลา.
ความรับผิดชอบของธุรกิจการขอความยินยอม: องค์กรต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อนการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูล โดยต้องระบุวัตถุประสงค์ของการประมวลผลข้อมูลอย่างชัดเจนการแจ้งให้ทราบ: องค์กรต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงเหตุผลในการ การเก็บรักษา และข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิ์ของเจ้าของข้อมูลการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล: องค์กรต้องดำเนินมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการเข้าถึง การสูญหาย หรือการใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล: องค์กรต้องแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล (Data Protection Officer - DPO) ในกรณีที่มีการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่หรือเป็นหน่วยงานรัฐการจัดการข้อมูลข้ามพรมแดน: การส่งข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศต้องมั่นใจว่าประเทศหรือองค์กรที่ได้รับข้อมูลมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลที่เพียงพอ หรือมีข้อตกลงที่เหมาะสม.
การส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎหมายศูนย์เฝ้าระวังการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: มีการจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC Eagle Eye) เพื่อเฝ้าระวังและตอบสนองต่อการละเมิดข้อมูลการพัฒนาความรู้และความเชื่อมั่น:
ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการสร้างความเชื่อมั่นผ่านหลักสูตรการอบรมเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล (DPO).
- พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
มีการแก้ไขเพื่อปรับปรุงและเพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับคนพิการในด้านต่างๆ เช่น การศึกษา การทำงาน และการใช้บริการสาธารณะ
- พระราชบัญญัติการจดทะเบียนพาณิชย์
มีการแก้ไขเพื่ออำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนในการจดทะเบียนพาณิชย์ รวมถึงการส่งเสริมการทำธุรกิจในประเทศไทย
พระราชบัญญัติการจดทะเบียนพาณิชย์ที่แก้ไขใหม่ในปี 2566 (2023) ของประเทศไทย ได้ทำการแก้ไขปรับปรุงหลายประการเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงและลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ รายละเอียดสำคัญของการแก้ไขนี้ได้แก่:
การรวมบริษัท:
บริษัทสามารถรวมกันได้ในสองรูปแบบ คือ การรวมกันเป็นบริษัทใหม่ที่ไม่มีบริษัทเดิมคงอยู่ และการรวมกันโดยที่หนึ่งในบริษัทที่รวมกันยังคงอยู่ในฐานะนิติบุคคล.
จำนวนผู้ก่อตั้งขั้นต่ำ:
ลดจำนวนผู้ก่อตั้งขั้นต่ำจากสามคนเหลือเพียงสองคน.
ความถูกต้องของหนังสือบริคณห์สนธิ:
หนังสือบริคณห์สนธิจะหมดอายุหากไม่ได้ทำการจดทะเบียนบริษัทภายในสามปี.
การประชุมคณะกรรมการบริษัท:
การประชุมคณะกรรมการบริษัทสามารถจัดขึ้นในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้.
ใบหุ้น:
ใบหุ้นต้องประทับตราของบริษัท (ถ้ามี) และลงนามโดยกรรมการอย่างน้อยหนึ่งคน.
การประกาศเรียกประชุมผู้ถือหุ้น:
ไม่ต้องประกาศเรียกประชุมผู้ถือหุ้นในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ยกเว้นกรณีที่บริษัทออกใบหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นตามกฎหมาย.
การจ่ายเงินปันผล:
การจ่ายเงินปันผลต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในหนึ่งเดือนนับจากวันที่มีมติการจ่ายเงินปันผล.
การประชุมผู้ถือหุ้น:
จำนวนผู้ถือหุ้นขั้นต่ำในการประชุมผู้ถือหุ้นคือสองคนหรือผู้รับมอบฉันทะของพวกเขา และต้องมีหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของทุนจดทะเบียนของบริษัท.
การแก้ไขกฎหมายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยให้มีความคล่องตัวและทันสมัยมากขึ้น พร้อมกับส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ.
- พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
มีการแก้ไขเพื่อปรับปรุงโครงสร้างและการบริหารจัดการระบบการศึกษา รวมถึงการกำหนดมาตรฐานและคุณภาพการศึกษาที่สูงขึ้น
- พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์
มีการแก้ไขเพื่อเพิ่มความคุ้มครองให้กับแรงงานในด้านสิทธิและสวัสดิการ รวมถึงการปรับปรุงกระบวนการเจรจาต่อรองระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ที่แก้ไขใหม่ในปี 2566 ได้เพิ่มบทบัญญัติและข้อกำหนดหลายประการเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากการระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานจากที่บ้าน (Work-from-Home) ซึ่งได้รับการยอมรับและนำมาใช้มากขึ้น รายละเอียดหลักของการแก้ไขนี้ ได้แก่:
การทำงานจากที่บ้าน
การทำสัญญาการทำงานจากที่บ้าน:
นายจ้างและลูกจ้างสามารถทำสัญญาการทำงานจากที่บ้านได้ โดยสัญญานี้ต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรหรือในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้าถึงได้ง่าย รายละเอียดที่ต้องมีในสัญญา ได้แก่:ช่วงเวลาที่ตกลงทำงานจากที่บ้านชั่วโมงการทำงานปกติ ช่วงพัก และการทำงานล่วงเวลา (ถ้ามี)ขอบเขตของงานและการควบคุมดูแลของนายจ้างหน้าที่ของลูกจ้างในการจัดหาหรือจัดการเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง.
สิทธิ์ในการตัดการสื่อสาร:
ลูกจ้างมีสิทธิ์ปฏิเสธการติดต่อจากนายจ้างหรือผู้บังคับบัญชานอกเวลาทำงานปกติ ยกเว้นในกรณีที่ได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า.
สิทธิ์และสวัสดิการ:
ลูกจ้างที่ทำงานจากที่บ้านมีสิทธิ์และสวัสดิการเทียบเท่ากับลูกจ้างที่ทำงานในสถานที่ทำงานของนายจ้าง.ข้อกำหนดอื่น ๆการแก้ไขนี้ไม่บังคับให้นายจ้างต้องอนุญาตให้ลูกจ้างทำงานจากที่บ้าน และไม่มีบทลงโทษทางอาญาสำหรับนายจ้างที่ไม่ทำสัญญาการทำงานจากที่บ้าน การแก้ไขนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการทำงานจากที่บ้านมากกว่าการลงโทษ.
กฎหมายแรงงานที่แก้ไขนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2566 และมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การทำงานจากที่บ้านเป็นไปได้อย่างเป็นทางการและมีการคุ้มครองสิทธิ์ของลูกจ้างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น.
- พระราชบัญญัติการจราจรทางบก
มีการแก้ไขเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ถนนและลดอุบัติเหตุทางถนน รวมถึงการกำหนดบทลงโทษที่เข้มงวดขึ้นสำหรับผู้ฝ่าฝืนกฎจราจร
พระราชบัญญัติการจราจรทางบกที่แก้ไขใหม่ในปี 2566 มีการปรับปรุงข้อกำหนดหลายประการเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ถนนและลดอุบัติเหตุจราจร โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้:
การเพิ่มค่าปรับ:
การขับรถเร็วเกินกำหนด, ฝ่าไฟแดง, หรือไม่หยุดให้คนข้ามถนน: ค่าปรับเพิ่มขึ้นจากไม่เกิน 1,000 บาท เป็นไม่เกิน 4,000 บาทการขับรถโดยไม่มีใบขับขี่หรือใบขับขี่หมดอายุ: จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถ้าไม่พกใบขับขี่ จะถูกปรับไม่เกิน 2,000 บาทการขับรถโดยไม่คาดเข็มขัดนิรภัย: ปรับไม่เกิน 2,000 บาท สำหรับทั้งคนขับและผู้โดยสารการขับรถโดยไม่สวมหมวกกันน็อค: ปรับไม่เกิน 2,000 บาท สำหรับทั้งคนขับและผู้โดยสาร.
มาตรการเพื่อความปลอดภัยของเด็ก:
ผู้โดยสารที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีต้องนั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หากไม่ปฏิบัติตามจะถูกปรับไม่เกิน 2,000 บาท (Motorist Thailand).
การควบคุมการดื่มแอลกอฮอล์และขับขี่:
ขับขี่ขณะมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกำหนด: โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 5,000 ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าทำผิดซ้ำในสองปี โทษจะเพิ่มขึ้นเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับตั้งแต่ 50,000 ถึง 100,000 บาท และจะถูกลงโทษทั้งจำทั้งปรับเสมอ.
การควบคุมการแข่งรถผิดกฎหมาย:
การจัดการแข่งรถผิดกฎหมาย, การดัดแปลงรถสำหรับแข่ง, หรือการโฆษณาชักชวนให้แข่งรถ: จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับตั้งแต่ 10,000 ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (Paultan.org).
การเพิ่มความเข้มงวดในกฎจราจร:
ผู้ที่ขับรถในทิศทางตรงกันข้ามหรือขับรถย้อนศร: ปรับสูงสุด 2,000 บาทการจอดรถในที่ห้ามจอด: ปรับสูงสุด 2,000 บาทการขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น: จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 5,000 ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (Motorist Thailand, The Pattaya News).
การแก้ไขกฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนและลดอุบัติเหตุที่เกิดจากการกระทำผิดกฎจราจร ผู้ขับขี่ควรปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปรับและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ถนน.
- พระราชบัญญัติภาษีอากร
มีการแก้ไขเพื่อปรับปรุงโครงสร้างภาษีและเพิ่มความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี รวมถึงการลดภาระภาษีสำหรับบางกลุ่ม
พระราชบัญญัติภาษีอากรที่มีการแก้ไขใหม่ในปี 2566 มีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงหลายประการที่สำคัญ ดังนี้:
การเก็บภาษีจากรายได้ที่ได้รับจากต่างประเทศ:
กรมสรรพากรได้ออกคำสั่งที่ 161/2566 ภายใต้ประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรคสอง กำหนดให้บุคคลที่มีรายได้จากการทำงานหรือการดำเนินธุรกิจจากต่างประเทศ (เช่น เงินเดือน เงินปันผล กำไรจากการลงทุน ดอกเบี้ย หรือทรัพย์สินที่นำเข้ามาในประเทศไทย) ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีที่นำรายได้นั้นเข้ามาในประเทศไทย ไม่ว่ารายได้นั้นจะเกิดขึ้นในปีใดก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป.
การยกเว้นภาษีสำหรับรายได้ที่เกิดก่อนปี 2567:
คำสั่งที่ 162/2566 ของกรมสรรพากรได้ระบุว่า รายได้ ปี 2567 จะไม่ต้องเสียภาษีตามกฎหมายใหม่นี้ ซึ่งหมายความว่ารายได้ที่ได้รับก่อนปี 2567 สามารถนำเข้ามาในประเทศไทยโดยไม่ต้องเสียภาษี หากสามารถพิสูจน์ได้ว่ารายได้นั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่กำหนด.
การปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสอดคล้องกับมาตรฐานสากล:
การเปลี่ยนแปลงนี้มุ่งเน้นการปิดช่องโหว่ทางกฎหมายที่เคยมีมาก่อน โดยให้ผู้ที่มีถิ่นพำนักในประเทศไทยต้องเสียภาษีจากรายได้ที่ได้ รายได้เข้ามาในปีที่ได้รับหรือไม่ก็ตาม เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานภาษีระหว่างประเทศ.
การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อทั้งบุคคลธรรมดาที่มีรายได้จากต่างประเทศและนักลงทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศ ดังนั้น การวางแผนทางภาษีจึงเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการกับรายได้ที่ได้รับจากต่างประเทศภายใต้กฎหมายใหม่นี้.
- พระราชบัญญัติการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล
มีการแก้ไขเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจดิจิทัล
พระราชบัญญัติการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลที่แก้ไขใหม่ในปี 2566 มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและปรับปรุงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจไทย โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้:
1. การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัล
พระราชบัญญัตินี้มีการปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะด้านซอฟต์แวร์ บริการดิจิทัล และเนื้อหาดิจิทัล การลงทุนเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยโครงการที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT) และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ.
2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
มีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลและส่งเสริมการให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง ดิจิทัลในทุกภาคส่วน การตั้งศูนย์ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการวิจัยและพัฒนา (R&D) และการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดโลก.
3. การส่งเสริมทักษะดิจิทัล
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ได้จัดหลักสูตรการเรียนรู้ดิจิทัลที่เหมาะสมกับแรงงานในเศรษฐกิจดิจิทัล และสร้างความตระหนักถึงทักษะดิจิทัลในหมู่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้กับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล นอกจากนี้ยังสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงการแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อเพิ่มจำนวนแรงงานดิจิทัลในประเทศไทย.
4. การพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ดิจิทัล
มีการพัฒนาแผนแม่บทเศรษฐกิจดิจิทัลระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570) เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ แผนนี้ครอบคลุมการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและการสร้างเครือข่ายการสนับสนุนการ.
การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้มุ่งหวังที่จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค เพิ่มความปลอดภัยและศักยภาพในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก.
- พระราชบัญญัติการดูแลสุขภาพแห่งชาติ
มีการแก้ไขเพื่อปรับปรุงระบบการดูแลสุขภาพและการให้บริการทางการแพทย์ รวมถึงการเพิ่มสิทธิประโยชน์และสวัสดิการให้กับประชาชน
พระราชบัญญัติการดูแลสุขภาพแห่งชาติของประเทศไทยที่แก้ไขในปี 2566 มีการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความต้องการในปัจจุบัน รายละเอียดสำคัญของการแก้ไขกฎหมายนี้ประกอบด้วย:
การส่งเสริมและขยายการเข้าถึงบริการสุขภาพ:
การแก้ไขเพิ่มเติมมุ่งเน้นให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้นและมีคุณภาพดีขึ้น โดยการจัดตั้งแผนแม่บทสุขภาพแห่งชาติ (National Health Master Plan) เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายในการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการสุขภาพ (National Health Security Office).
การบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพ:
มีการปรับปรุงระบบการจัดการข้อมูลสุขภาพแห่งชาติ (National Health Accounts) เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลด้านสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยในการวางแผนและพัฒนาระบบสุขภาพในอนาคต (International Health Policy Program).
การมีส่วนร่วมของประชาชน:
ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจด้านสุขภาพ โดยจัดให้มีการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (National Health Assembly) เพื่อให้ประชาชนและองค์กรต่างๆ มีโอกาสร่วมแสดงความคิดเห็นและเสนอแนะแนวทางการพัฒนาสุขภาพ (National Health Commission Office).
การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล:
มีการปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Act - PDPA) เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลสุขภาพของประชาชนจะได้รับการคุ้มครองและใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม.
การแก้ไขพระราชบัญญัตินี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศให้มีความทันสมัยและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น.